เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ มี.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธราม จ.ราชบุรี

 

โลกนะ เวลาอยู่ในโลกก็เห็นเฉพาะหน้า แต่โลกที่เรามองไม่เห็นไง โลกปัจจุบันและโลกหน้า แต่โลกอดีตล่ะ ที่เราผ่านมาในปัจจุบันนี้ เรามาปฏิบัติในปัจจุบันนี้มาจากไหน เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ ว่าในศาสนาพุทธเรานี่ไม่มีอะไรลอยมาโดยไม่มีต้นไม่มีปลาย มันมีเหตุมีผลที่ให้เรามาเกิดในปัจจุบันนี้ เราเห็นตั้งแต่เด็กเห็นไหม พอมีตำแหน่งหน้าที่การงานมันจะเจริญเติบโตไป จนถึงที่สุดเกษียณ แล้วก็รอหมดชีวิตไป นี่วัฏฏะที่เรามองเห็นไง โลกที่เรามองเห็นมันเกิดสภาวะแบบนี้ แล้วโลกที่เรามองไม่เห็นล่ะ

โลกที่มันมองไม่เห็นก็หมุนไปในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตมันมีเกิดมีตาย แต่ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมจะเห็นสภาวะแบบนั้น เรานี่ตามืดบอด เราเห็นได้ในชาติปัจจุบันนี้ ถ้าชาติปัจจุบันนี้เห็นไหม การเกิดและการตาย การเกิดและการตายในตำแหน่งหน้าที่การงาน การเกิดและการตายในชีวิต การเกิดและการตายเห็นไหม นี่เราแปรสภาพเราตลอดไป

ถ้าเราเจริญขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่มีคุณค่าคือบุญกุศลที่เป็นอริยทรัพย์จากภายใน มันเห็นได้ยากนะ แต่สิ่งที่เห็นด้วยคุณค่าเห็นไหม ถ้าทรัพย์สมบัติเงินทองนี่เราเห็นได้ง่าย เราต้องกระเสือกกระสน กว่าเราจะประกอบสัมมาอาชีวะได้สิ่งนี้มาเป็นสมบัติของเรา แต่การที่จะได้สมบัติอันละเอียดขึ้นมานี่ สิ่งที่เราจะเห็นสมบัติอันละเอียด พลังงานต่างๆ ทุนเหมือนกัน เงินเหมือนกันนี่ ใช้ดีและใช้ชั่ว

ชีวิตก็เหมือนกัน เราใช้ในประโยชน์ของเรา เราใช้ชีวิตประสบความสำเร็จทางโลกเห็นเป็นประวัติศาสตร์นะ ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้เลยว่า ผู้ที่ทำคุณประโยชน์กับโลกไว้เป็นสภาวะแบบนั้น แต่ก็เกิดตายเกิดตายนะ เพราะอะไร เพราะพระโพธิสัตว์ต้องสร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย พระโพธิสัตว์นะ เพราะพยายามเสียสละมาเพื่ออะไร? เพื่อพละ เพื่อพลัง เพื่อให้ใจมันมีฐานควรรับสมบัติอันเป็นอริยทรัพย์จากภายใน การเสียสละต่างๆ นี่เสียสละเพื่อโลก เสียสละอย่างนี้ขึ้นมาแล้วถึงที่สุดเราจะเสียสละของเราเอง

พระเวสสันดรเวลาชูชกเขามาขอลูก ให้ไปทั้งๆ ที่มีความรักนะ ไม่ใช่ให้ไปด้วยที่ว่าเรามีปัญหากัน รักลูกมาก ถ้าเราเป็นพ่อบ้านเราจะรักลูกเรามาก เราจะรักครอบครัวเรามาก เราจะรักภรรยาเรามากเลย แล้วเขาไม่ได้มาขอเรา แต่เขาขอภรรยาเรา เขาขอลูกเรา มันกระชากหัวใจเราไปเห็นไหม นี่พระเวสสันดร ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ต้องเป็นอย่างนี้หมดเลย สละหมดเลย สละครอบครัว สละทุกๆ อย่าง สละลูก สละเมีย สละออกหมดเลย สละเพื่ออะไรล่ะ สละเพื่อโพธิญาณเห็นไหม

เป็นพระเวสสันดรก็ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ชาติสุดท้ายนี่เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ย้อนกลับอดีตชาติ ชาตินี้จะมาเป็นพระเวสสันดร ขณะที่เป็นพระเวสสันดร ฟังสิ เราเป็นปุถุชนนะ การที่พลัดพรากจากความรัก การที่พลัดพรากจากสิ่งใดมันสะเทือนใจไหม? สะเทือนใจทั้งนั้นล่ะ แต่ทำไมเราต้องพลัดพรากล่ะ? เราพลัดพรากเพื่อจะเอาสิ่งที่ไม่พลัดพรากนะ

ถ้าเรายังพลัดพรากอยู่ แล้วเราพยายามกอดสิ่งนี้อยู่ พยายามจะดึงไว้อยู่ มันเป็นอนิจจังไง มันเป็นสิ่งที่พลัดพราก แต่การพลัดพรากๆ เพื่อดี ไม่ใช่พลัดพรากเพื่อจะเจ็บปวด มันเจ็บปวดด้วยกิเลส แต่มันเป็นคุณประโยชน์ในทางธรรมเห็นไหม มันพลัดพรากเพื่อคุณงามความดี พลัดพรากเพราะมันสะเทือนหัวใจ เพราะการจะได้สมบัติอริยทรัพย์มามันจะเจอสภาวะมาอย่างนี้ นี่คือการพลัดพราก แต่พลัดพรากเพื่อเห็นไหม ดูสิ เราส่งลูกไปเรียนเมืองนอกกัน นี่เรารักไหม เราคิดถึงไหม คิดถึงมาก แต่เพื่อไปเอาวิชาการมา เพื่อให้ยืนมาในชีวิต เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเสียสละออกไป เจ้าชายสิทธัตถะเวลาจะออกจากบ้าน เวลาจะออกจากราชวังมาพระเจ้าสุทโธทนะเสียใจมาก เพราะอะไร เพราะกำลังจะเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว สุดท้ายแล้วมาเอาราหุลไปอีก พระเจ้าสุทโธทนะสะเทือนใจมาก ถึงขอไว้ไง ขอพรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าจะบวชต้องขอให้พ่อแม่อนุญาตก่อน เพราะเอาไปโดยพ่อแม่ไม่อนุญาตมันสะเทือนหัวใจของพ่อแม่มาก

แต่พระสารีบุตร เห็นไหม ตระกูลของพระสารีบุตร พระจุนทะ พระเรวัตตะ เป็นน้องชายของพระสารีบุตร เวลาออกมาบวชแล้วเป็นพระอรหันต์หมดเลย พระเรวัตตะนี่ พ่อแม่เห็นพระสารีบุตรออกบวช เห็นต่างๆ ออกบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา หวงลูกมาก พยายามจะไม่ให้ลูกออกไปเห็นไหม แต่พระสารีบุตรได้บอกกับหมู่คณะไว้ว่า เพราะว่าพระเจ้าสุทโธทนะขอไว้ไง ว่าเวลาจะบวชต้องให้พ่อแม่ได้อนุญาตก่อน

แต่พระสารีบุตรบอกกับหมู่สงฆ์ไว้นะ “ถ้าน้องชายผมอยากบวช ผมขอให้บวช เพราะพ่อแม่ผมเป็นมิจฉาทิฏฐิ พ่อแม่ผมไม่ให้บวชหรอก” ฉะนั้น พระเรวัตตะถึงได้บวชไง เพราะพระเรวัตตะ พ่อแม่พยายามจะให้มีครอบครัวตั้งแต่เด็ก แล้วก็เอาไปแต่งงานกลับมานี่ หลบไปหลบมา หลบไปหลบมา จนไปขอพระบวชได้เลย เพราะอะไร เพราะว่าพระสารีบุตรเปิดทางไว้ให้แล้ว

นี่สิ่งที่พลัดพรากมันสะเทือนใจแน่นอน โลกนี้เป็นสภาวะแบบนี้ นี่วัฏฏะเป็นอย่างนี้ ถ้าวัฏฏะเป็นอย่างนี้ เราจะหาสิ่งที่พึ่งของเรา แล้วที่พึ่งของเราถ้ามันเป็นอนิจจัง บุญกุศลก็ขับเคลื่อนให้เราได้บุญกุศลตลอดไป แต่ถ้าเปิดตาจากภายในนะ ถ้าอริยทรัพย์เกิดขึ้นมาเห็นไหม เวลาเรามีบุญกุศล เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ในชาติปัจจุบันนี้ เราเลี้ยงให้พ่อแม่มีความสุข แล้วเวลาพ่อแม่ตายไป ถ้ามีอริยทรัพย์จากภายใน ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เราส่งเสียไปนะ เราส่งเสียไปเพราะว่าสิ่งนี้มันสะเทือนใจไป ใครจะปฏิเสธว่ามีหรือไม่มีนั้นมันเรื่องของการปฏิเสธ แต่ความจริงมันมีอยู่เห็นไหม

ถ้าปฏิเสธว่าสิ่งนี้ไม่มีนี่ มันมาจากไหน แล้วเราบอกว่าจิตนี้หนึ่งเดียว เมื่อก่อนคนเรา ๑๖ ล้านคน แต่เดี๋ยวนี้ทำไม ๖๐ ล้านคน นี่สิ่งที่ยังจะเกิดอีกมหาศาลเลย โลกหมุนไปสภาวะแบบนั้น เวลาโลกมันปรับสภาพเห็นไหม ยุคโบราณเห็นไหม แล้วต่อไปพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ โลกนี้ต้องปรับสภาพก่อน เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้นี่ จะไม่มีเครื่องหมายของศาสดาองค์เดิมอยู่เลย โลกต้องปรับสภาพไปตลอดจนถึงยุคหนึ่ง นี่ธรรมเกิดๆ ยุคหนึ่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดๆ ยุคหนึ่ง

แล้วในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญตรงไหนล่ะ? เจริญตรงที่ว่าผู้ที่แสวงหา ผู้ที่กระทำ แสวงหามาจากไหน? แสวงหามาจากหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจมีความสุข เราทำหน้าที่การงานที่ไหนเราก็มีความสุข ถ้าใจมันมีความสุขนะ ทำงานมีความสุขมาก แต่ถ้าหัวใจมันเดือดร้อนนะ หน้าที่การงานก็บีบคั้นมาทับซ้อนมา เห็นไหม แต่ถ้ามีความสุขนะ หน้าที่การงานของโลกก็หน้าที่การงานของโลก

ดูสิ ถ้าหน้าที่การงานของโลกไม่มี ทำไมพระต้องบิณฑบาตล่ะ? ทำไมพระต้องอาศัยชีวิตล่ะ เพราะอะไร เพราะการเกิดมามันมีธาตุขันธ์ มันมีธาตุไง มันอยู่ได้ด้วยอาหารของมัน หัวใจจะมีความสุขความทุกข์มันก็มีอาหารของมัน คือว่ามันเสวยอารมณ์ อารมณ์ความคิดดีคิดชั่วเห็นไหม มันเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจนี้ วุฒิภาวะมันจะปรับสภาพเราดีขึ้น ถ้าสะเทือนใจเรานะ ถ้าเรามองเห็นสิ่งใดแล้วมันสะเทือนหัวใจเรา สิ่งนี้ไม่ดีเลย สิ่งนี้ไม่ดีเลย มันจะปรับตัวเราเองนะ แต่ถ้ามันมองแล้วสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ทำแล้วสะใจ สิ่งนี้ทำแล้วพอใจ สิ่งนี้แสวงหาเห็นไหม สิ่งนี้คือสิ่งที่กิเลสมันต้องการไง

แต่สิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่มันเสียสละเห็นไหม ถ้าสิ่งที่เสียสละขึ้นไป หัวใจมันพัฒนาขึ้นมา เหมือนผู้ใหญ่มองดูเด็กๆ เลย ถ้าจิตมันมีวุฒิภาวะของมัน มันโตขึ้นมามันมีวุฒิภาวะของมัน มันมองคนอื่นแล้วมันสงสารนะ แต่ถ้าจิตของเรายังเป็นเด็กอยู่ จิตเราเป็นเด็กไง เพราะจิตเป็นเด็กมันไม่เข้าใจสิ่งใดใช่ไหม มันต้องการทุกๆ อย่างเลย ในเรื่องของโลก ในเรื่องปัจจัยมันต้องการแสวงหา มันก็เข้าไปกอดเข้าไปยึดกับเขา ถ้าไปกอดไปยึดกับเขา เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มันก็เป็นสังคม เห็นไหม แต่ถ้าหัวใจเราเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะ เราเป็นคนดู เราแยกออกมา ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะให้ดูใจเรา โลกเป็นแบบนี้ การแสวงหา การต่างๆ โลกต้องเป็นแบบนี้ โลกมีคนดีและคนไม่ดีปนกันตลอดไป

ในร่างกายของเรามีเชื้อโรคในร่างกายของเรา แล้วมีสิ่งที่สร้างอาหารให้กับร่างกายของเรา ในร่างกายเราก็มีอย่างนี้ โลกก็เป็นอย่างนี้ หัวใจก็เป็นอย่างนี้ เพราะหัวใจมันมีคุณธรรม มันคิดแต่สิ่งที่ดีๆ เห็นไหม แต่หัวใจที่เป็นกิเลสมันคิดแต่สิ่งที่มันน้อยเนื้อต่ำใจ การน้อยเนื้อต่ำใจมันจะพาไปเสวยสิ่งที่มันแสวงหาของมัน เพราะอะไร เพราะน้อยเนื้อต่ำใจมันก็ประชด มันก็ทำลาย แต่ถ้าเรามีคุณธรรมขึ้นมา เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจเลย เพราะสิ่งนี้เราสร้างมา กรรมเราสร้างมา บุญเราสร้างมาสิ่งไหนเราก็เกิดมาสภาวะแบบนั้น เกิดสภาวะแบบนั้นนะ

คนเกิดมาดูสิ มีการศึกษาเหมือนกัน เวลาจบมาเหมือนกัน แต่หน้าที่การงานทำไมไม่เหมือนกัน คนๆ นี้เป็นดาวรุ่งมากเลย แต่ถึงเวลาออกไปแล้วอำนาจวาสนาของเขาไปตันตลอดไป แต่เรานี่ไปได้ตลอด ทางโลกก็ไปได้ ทางธรรมก็ไปได้ ถ้าทางธรรมนะ ทางโลกไปได้เห็นไหม คนดีจากข้างนอก คนดีจริงจังของเราจากทางโลก เวลาบวชไปแล้วเพราะความจริงจังอันนั้น มันจริงจังกับเราเอง มันตั้งสัจจะของมันได้

เครื่องยนต์กลไกถ้ามีคุณภาพของมัน ดูสิ เครื่องถ้ามันประกอบมาดี รุ่นที่มันเป็นเครื่องที่มีคุณภาพ เขาใช้แล้วเขาติดอกติดใจเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริงในหัวใจ เครื่องถ้ามันเป็นสิ่งที่ชำรุดมา สิ่งที่เขาซ่อมแซมมามันได้ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าเราไม่จริงจังกับชีวิตของเรา เราอยู่จากทางโลกมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าไปทางธรรมเห็นไหม นี่ดีทั้งทางโลกและทางธรรม

ถ้าทางธรรมนี่ สิ่งที่มันมามันเป็นสัจจะ เครื่องยนต์ที่มีกำลัง เครื่องยนต์ที่แข็งแรง มันมีระยะของมัน การใช้งานมันได้มากกว่ากัน เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาบวชแล้วเห็นไหม ปรารถนาจะได้สิ่งใดก็ไม่สมใจทุกๆ อย่าง เราเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน พ่อแม่ไปตลาดเห็นไหม ซื้อนั้นให้หนูด้วยนะ ซื้อนี้ให้หนูด้วยนะ แล้วตลาดมันหมด พ่อแม่ยังเอามาให้ไม่ได้เลย

แล้วนี่เป็นพระนะ เราจะมีบาตรอยู่ใบเดียว เรามีบริขาร ๘ เราจะเลี้ยงชีพด้วยปัจจัยเครื่องอาศัยอย่างนี้ ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ได้สมความปรารถนา ไม่สมความปรารถนาหรอก เพราะกิเลสในหัวใจมันปรารถนาของมันตลอดไป

ถ้าเรามีสัจจะมันจะเข้มแข็งไง มันจะเข้มแข็งกับสิ่งกระทบจากภายนอก เราจะไม่สมความปรารถนาสิ่งใดๆ เลย ถ้าแต่มันมีคุณธรรมในหัวใจนะ สิ่งที่สมความปรารถนาไม่สมความปรารถนานี้เลี้ยงชีวิตโดยชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบเลี้ยงด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว

พระสมัยพุทธกาล เวลาจะออกบิณฑบาตเห็นไหม วันนี้ใครจะใส่บาตรอะไรเรามา นี่ถอดผ้าเลย วันนี้ไม่บิณฑบาต ไม่ฉัน เพราะเรายังไม่ออกบิณฑบาตเลย กิเลสมันกินก่อนแล้ว กิเลสมันต้องการอาหารของมัน กิเลสมันปรารถนาของมัน มันอยากอะไรของมัน มันอยากได้สิ่งที่มันปรารถนาไง ไม่ให้มันกิน ไม่ให้มันไป เห็นไหม นี่ถ้ามันเข้มแข็ง มันจะเข้มแข็งมาจากตรงนี้ไง แล้วถ้ามันไม่สมความปรารถนา ถ้าเราทำประโยชน์ไป เห็นไหม

พระสารีบุตรมีโรคประจำตัว โรคถ่ายท้อง เวลาพระโมคคัลลานะไปเยี่ยมนะ นี่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หายเพราะอะไร? หายเพราะข้าวยาคู เช้าขึ้นมานี่ได้ข้าวยาคู พระโมคคัลลานะดลใจเทวดา เทวดาไปดลใจคฤหัสถ์ คฤหัสถ์เช้าขึ้นมาทำข้าวยาคูมา พระโมคคัลลานะไปบิณฑบาตกลับมาเอามาให้พระสารีบุตร พระสารีบุตรไม่ยอมฉัน เพราะสิ่งนี้ได้มาด้วยความเศร้าหมอง เพราะดลใจเทวดา เทวดาดลใจคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ทำแล้วใส่บาตรมา เพราะเป็นสหธรรมิกเพื่อจะช่วยเหลือกัน เห็นไหม แต่มันไม่บริสุทธิ์

เราบิณฑบาตออกไปมันเลี้ยงชีพโดยชอบ หน้าที่ของเราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราทำโดยประเพณีวัฒนธรรม อริยประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบิณฑบาต แล้วบริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา เขาอยากได้บุญกุศลของเขา เขาใส่บาตรพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกของเขา แล้วเลี้ยงชีวิต สละทานออกไป แต่เราเป็นภิกษุ เราพยายามค้นคว้าธรรมะฆ่ากิเลสของเรา ดำรงชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ เราออกบิณฑบาตนี่เลี้ยงชีวิตชอบ นี่สัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะการเลี้ยงชีวิตด้วยการบิณฑบาตนะ

แล้วถ้าสัมมาอาชีวะในหัวใจ มรรคมันเกิดขึ้นมา มรรคญาณเกิดขึ้นมาในหัวใจ มันจะทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม นี่วัฏวนมันก็วนไปในวัฏฏะ

วิวัฏฏะ การจะชำระกิเลส การจะพัฒนาหัวใจของเราขึ้นมา จิตใจของเรามันจะส่งเสริมขึ้นมาให้เราพ้นจากวัฏฏะเห็นไหม วัฏฏะจากภายนอก วัฏฏะจากภายใน มรรคจากภายนอก มรรคจากภายใน มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนในเรื่องของคุณธรรม ในเรื่องหัวใจของเรา ถ้าคนที่มีวุฒิภาวะ คนที่มีหัวใจ คนที่มีดวงตา มันจะเอาทรัพย์จากภายใน ทรัพย์อันละเอียดอย่างนี้มันจะเกิดจากเรา

ถ้าเรามีความเข้มแข็ง เริ่มต้นจากเราจะเสียสละ เราเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนจากคฤหัสถ์มาเป็นภิกษุ การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้มาจากไหน? มาจากพ่อแม่ เพราะอะไร เพราะที่เรามานั่งกันอยู่นี่ เกิดมาจากไข่ของมารดา เราก็กินอาหารในครรภ์ เราก็กินเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ แล้วเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่มาค้ำจุนศาสนา เห็นไหม นี่ ๑๖ กัป แม่ได้ ๑๖ กัป พ่อได้ ๑๖ กัป

แม้แต่การบวชในศาสนานี่ได้บุญอยู่แล้ว แล้วการประพฤติปฏิบัตินี่ได้อริยทรัพย์จากภายในขึ้นมาอีก ทรัพย์จะซ้อนๆๆๆ ขึ้นมา ถ้าสิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาจะเป็นประโยชน์หมดเลย คนดีทำสิ่งต่างๆ เป็นความดีหมด กิเลสทำสิ่งต่างๆ เป็นอกุศลหมด ถ้าคุณธรรมทำเป็นความดีหมด เห็นไหม

เราถึงว่าเราจะฝืนวัฏฏะ เราจะมีความเข้มแข็งของเรา แล้วเราจะถึงที่สุดของเรา เราจะมีคุณธรรมในหัวใจของเรา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วหัวใจเราจะเป็นธรรมเอง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หัวใจดวงนี้จะเป็นธรรม เอวัง